Sunday, October 19, 2008

โชว์รูปสี Pastel

จากกันไปเป็นเดือนเป็นปี มิได้พบกัน... คิดถึงคืนนึกถึงวันวานที่แล้วมา...
จากกันไปใจยังเหมือนเดิมซ้ำเพิ่มมากกว่า... เพิ่มแรงจิตจดจ่อนึกถึงจึงกลับมาใหม่...

ฮ่า ๆ หลังจากห่างหายไปนานกว่าสองเดือน ในที่สุดก็มีโอกาสที่จะมาเขียนอะไรเพิ่มซะที เรื่อง "การทดลอง ตอนที่ ๒" ก็ต้องขอผลัดไว้คราวต่อไป (ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัน) นะครับ เพราะตอนนี้มีอะไรตื่นเต้นกว่านิดนึงมานำเสนอ

หอที่อยู่ตอนนี้ชื่อว่า Kimball (ก็ที่เดียวกับปีที่แล้วนั่นแหละ) เค้าเรียกว่าเป็นหอ art-focused คือเป็นหอที่มุ่งเน้นด้านศิลปะเป็นสำคัญ เริ่มจากอาจารย์ประจำหอเลย ก็เป็นครูสอนดนตรีสองคน นอกจากนั้นหอก็ยังจัดกิจกรรมศิลปะต่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ กันไป กลุ่มที่ว่านี้ก็จะมีคนอยู่ซัก ๑๐ คน ที่สนใจเรื่องคล้าย ๆ กัน แล้วก็มาเจอกันทุกสัปดาห์เพื่อทำกิจกรรมศิลปะร่วมกัน มีทั้งพวกที่ทำเกี่ยวกับดนตรี ลีลาศ การทำอาหาร วาดภาพระบายสี ทำหนัง ไปจนถึงศิลปะการป้องกันตัว

สำหรับกลุ่มที่อยู่ในเทอมนี้ก็เป็นกลุ่มที่ออกไปนั่งวาดรูป ใช้สีที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า pastel ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นสีชอล์กมั้ง ลักษณะก็คือว่าพอฝนลงบนกระดาษแล้วจะเป็นผงฝุ่น ๆ ออกมา ซึ่งเราสามารถใช้นิ้วเกลี่ยให้ผสมกับสีอื่นได้ ทำให้ภาพที่ได้ออกมาดูนุ่มราวปุยนุ่น... อธิบายยังกับเรียนมายังงั้นเลย... ขอออกตัวก่อน (ไม่ได้วิ่งแข่งอยู่ ออกตัวก่อนเลยไม่เป็นไร ไม่ผิดกติกา) ว่าไม่ได้เรียนอะไรอย่างจริงจังเลย ที่พูดนี่ก็คือมั่วเอาทั้งนั้นนะครับ ใครที่รู้เรื่องก็ต้องขอความรู้ด้วย

ผ่านมาสองสัปดาห์ ก็ได้วาดไปสองรูป รูปแรกวาดเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ทะเลสาบ (แห้ง) ในสแตนฟอร์ดนี่เอง ชื่อว่า Lake Lagunita ใช้เวลาทั้งสิ้นเกือบ ๆ สองชั่วโมง ใช้ผงสีไปประมาณ ๑๗๓ กรัม (รู้ทำไมเนี่ยะ) ออกมาเป็นประมาณนี้ครับ

ส่วนรูปที่สอง เป็นรูปที่เพิ่งวาดเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา นั่งอยู่เบื่อ ๆ ก็เลยวาดดู ตั้งชื่อรูปไว้ว่า Distance ครับ รูปพวกนี้ (ที่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่... วาดเพราะคนวาดไม่มีฝีมือวาดให้เหมือนของจริง) ภาษาศิลปะเค้าเรียกกันว่า แอ๊บแสตก (abstract) มั้งครับ ฮ่า ๆ

ส่วนความหมายหรืออะไรจะซ่อนอยู่ยังไง ก็ขอเชิญท่านผู้ชมวิเคราะห์กันเองนะครับ เค้าว่าศิลปะมันสนุกตรงนี้ ที่งานชิ้นนึงก็อาจจะมีความหมายต่างกันสำหรับคนดูแต่ละคน คิดว่ายังไงเขียนบอกไว้ก็คงจะดีไม่น้อย

คงไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ต้องไปทำการบ้านก่อนแล้วครับ

Tuesday, August 19, 2008

การทดลอง ตอนที่ ๑

เสียงไก่ขันดังขึ้นมาจากบ้านข้าง ๆ พร้อมกันกับลมเอื่อย ๆ ที่พัดมาจากด้านหน้าต่าง ฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนยังทิ้งร่องรอยเป็นหยดใสอยู่บนใบสีเขียวสดของต้นไม้ที่แนบอยู่กับมุ้งลวด กิ่งของต้นประดู่โค้งงอไหวไปมา ราวกับจะชักชวนเขาออกไปสู่โลกธรรมชาติข้างนอก... มานะชอบบรรยากาศแบบนี้เสมอ

เขาอาบน้ำแต่งตัวพร้อมออกไปทำงาน หลังจากเทอาหารและน้ำให้หมาสองตัวที่เขาเลี้ยงไว้ เขาก็เดินออกจากบ้านไปยังวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่แถว ๆ นั้น

แปลก ไม่มีใครอยู่เลย... เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เข็มสั้นกับเข็มยาวบอกเวลายังไม่ถึงหกโมงครึ่งดี... หรือเป็นเพราะว่าวันนี้เขาจะมาสายเกินไป แล้วคนก็เรียกมอเตอร์ไซค์ออกไปหมดแล้ว...

ป้ายรถเมล์อยู่ห่างออกไปที่ถนนใหญ่ไม่มากเท่าไหร่ มานะกะดูว่าถ้าเดินไปขึ้นรถเมล์คงจะยังทันอยู่ ดีเสียอีก จะได้แวะซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าเก่าด้วย เขาเริ่มก้าวเดินไปบนถนนลาดยางที่มีรถอยู่ประปราย ตามองไปที่บ้านทรงไทย ที่เห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะเวลาที่ฟ้าเป็นสีแดงอ่อน ๆ อย่างตอนนี้ เขายังจำได้ตอนที่เขามาวิ่งเล่นที่ถนนเส้นนี้ตั้งแต่ยังเป็นถนนลูกรัง คงจะซัก ๒ กิโลเมตร ถ้าเขาจำไม่ผิด...

แปลก รถเข็นขายน้ำเต้าหู้ไม่มาวันนี้... สงสัยป้าแกคงจะไม่สบาย วันก่อนเห็นแกหน้าซีด ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้ถาม... ทำไมวันนั้นเราไม่ได้เอ่ยปากถามป้าแกนะ เดี๋ยวไว้วันหลังถ้าเจอจะต้องถามเสียหน่อยว่าแกกับเจ้าเปี๊ยก ลูกของแกที่ชอบมาวิ่งป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ นั้น เป็นอย่างไรบ้าง

มานะเดินได้อยู่สิบกว่านาทีก็มาถึงป้ายรถเมล์ มีคนแต่งชุดทำงานรออยู่ที่ป้ายแล้วจำนวนหนึ่ง... ทำไมวันนี้คนมารอที่ป้ายมากจัง... คุยกับคุณลุงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ความว่ารอมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เห็นมีรถเมล์มาซักคัน เขาคิดจะเดินห่างออกไปเรียกแท๊กซี่ แต่พอมองไปที่ถนนก็เพิ่งเห็นว่า ไม่ใช่แค่รถเมล์ที่ไม่วิ่ง รถแท๊กซี่ รถสิบล้อ รถสองแถว รถตุ๊กตุ๊ก ไม่มีให้เห็นเลยซักคัน รถที่เขาเห็นมีแต่รถเก๋งส่วนบุคคลเท่านั้น

"วันนี้มันเป็นอะไรนะ" เขาคิดขึ้นในใจ "แปลกเสียจริง ๆ"

พอดีหันกลับไปก็เห็นรถสีน้ำเงินที่เขาคุ้นตาค่อย ๆ มาเทียบฟุตบาทจอดตรงที่เขายืนอยู่ มานีนั่นเอง มานีเป็นเพื่อนร่วมงานของมานะที่รู้จักกันตอนสมัครงาน พอได้งานก็เลยสนิทกันเป็นพิเศษ แถมได้ทำงานที่อยู่ในสายคล้าย ๆ กัน ก็เลยได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานบ้างในบางโอกาส

"ขึ้นมามั้ย นะ ขืนรอรถเมล์อยู่งี้ได้ไปทำงานสายแน่" มานีพูดพลางเปิดประตู ทำให้มานะไม่ได้ยินคำแรก ๆ ของประโยคเท่าไหร่ มานะได้ยินแต่ว่า สายแน่ เลยทำหน้างงเล็กน้อยให้มานีเห็น

"อ้าวขอโทษที เราพูดพลางเปิดประตูอีกแล้ว เป็นยังงี้อยู่เรื่อย" มานีว่า ทำหน้าอมยิ้มรับผิด "เราบอกว่า ไปที่ทำงานด้วยกันมั้ย เดี๋ยวไปส่ง"

"อ้อ ดีเลย ขอบคุณมากนี" ว่าแล้วมานะก็ก้าวขาขึ้นรถมานีไป...

Wednesday, August 13, 2008

ทำอะไรเนี่ยะ

ช่วงปิดเทอมนี้หลายครั้งได้รับคำถามว่า ทำอะไรเนี่ยะ ทำไมไม่กลับบ้าน หลายครั้งก็อยากจะตอบแบบละเอียด ๆ แต่บางทีก็มีเวลาไม่พอที่จะตอบ ก็เลยตอบได้แค่ว่า สอนคอมเล่นพูลครับ แค่นั้น ฮ่า ๆ จริง ๆ ที่ไม่ได้เขียนอะไรมาหลายวันก็เพราะไม่ได้คิด ที่ไม่ได้คิดก็เพราะเอาเวลาไปคิดเรื่องนี้แหละ พอดีต้องนำเสนองานให้อาจารย์ดู ว่าที่ผ่านมานั่งรับเงินเนี่ยะ ทำอะไรไปบ้าง ก็เลยต้องเร่งขยันขึ้นมาหน่อยนึง

วันนี้ก็เลยว่า ไหน ๆ เราก็คิดเรื่องนี้มาตั้งเยอะ (โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมานี่... เพราะต้องนำเสนองาน) ทำไมไม่เอามาเขียนในนี้ดู คนทั่วไปจะได้ทราบกันบ้างว่า ปิดเทอมนี้เนี่ยะ ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงได้มาทำอะไรยังงี้ ก็ขอเนิร์ดซักนิดนะครับ

ทำไมต้องสอนให้คอมพิวเตอร์เล่นพูลด้วย... ที่จะทำก็เพราะจะส่งโปรแกรมนี้ไปแข่งครับ แข่งคอมพิวเตอร์โอลิมปิกที่ประเทศจีนเชียวนา (ฟังดูยิ่งใหญ่มั้ย ได้แข่งในโอลิมปิกด้วย) การแข่งขันจะมีขึ้นในช่วงต้น ๆ เดือนตุลาคมครับ

แล้วแข่งกันยังไงล่ะ... ไม่ยากเหมือนที่หลายคนคิดกันครับ ไม่ได้ให้ทำหุ่นยนต์ที่จะเล่นพูลจริง ๆ ไปแข่งกัน ที่แข่งกันเค้าเรียกว่า Simulated Pool ก็คือแข่งอยู่แค่ในคอมพิวเตอร์ครับ คร่าว ๆ ก็คือ จะมีเครื่องนึงที่ทำหน้าที่เป็น Server อยู่ จะบอกว่าตอนนี้โต๊ะเป็นยังไง ลูกต่าง ๆ อยู่ตรงไหน เป็นตาใคร (ถามหลานดูก็ได้) เวลาเหลือเท่าไหร่ อะไรพวกนี้ครับ จากนั้นก็จะมีอีกส่วนที่เรียกว่า Client ซึ่งเป็นคนเล่น ก็จะดูว่า อื้ม... โต๊ะเป็นยังงี้ ลูกขาวอยู่ตรงนั้น แล้วเรายิงลูกนี้ ลูกนั้น กับลูกนู้นได้... เอ่... ลูกนั้นเหมือนจะง่ายแฮะ แต่ลูกนั้นยากกว่าหน่อยนึงแต่พอยิงลงแล้วยิงลูกโน้นต่อได้เลย... ยิงลูกไหนดีนะ... ยิงลูกไหนดี... ฮื้มม... ยิงลูกนั้นหรือลูกนี้ดี... คิดไปคิดมายังงี้แล้ว ก็นั่งเด็ดกลีบดอกไม้เลือกเอา ลูกนั้น... ลูกนี้... ลูกนั้น... ลูกนี้...

ล้อเล่นครับ แต่เวลาคิดนี่คิดนานจริง ๆ (เป็นนาทีเลย) พอเลือกได้แล้ว (ไม่ว่าจะด้วยการคิดสี่ตลบ เด็ดกลีบดอกไม้ ถามสาวยาคู้ลท์ ทอยลูกเต๋า โยนเหรียญ หรืออะไรก็ตาม) ตัว Client ก็จะบอก Server ไปครับ ว่าอ่ะ เนี่ยะ เลือกจะยิงยังงี้แหละ โดยการเลือกที่จะยิง ก็ต้องบอกเลขให้ Server ไปห้าตัวด้วยกัน ก็คือ a, b (ตำแหน่งบนลูกขาว มองจากด้านหลัง), theta (มุมก้มของไม้ที่ทำกับโต๊ะ), phi (มุมของไม้ มองจากด้านบน) แล้วก็ v (ความเร็วของไม้) ครับ

เพื่อไม่ให้เป็นการง่ายเกินไป ตัว Server ก็จะทำการเพิ่ม noise เข้าไปในค่าพวกนี้แบบ Gaussian distribution ครับ เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ phi เป็น ๔๘ องศา ก็อาจจะได้ค่าที่ใช้ยิงจริง ๆ เป็น ๔๘.๒๑ องศา ทำนองนั้น

การแข่งคร่าว ๆ ก็เป็นไปตามที่ได้บรรยายไปครับ (ยาวไปมั้ยเนี่ยะ) หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กันไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

Saturday, August 2, 2008

สนามหลวง

ตอนไปเรียนที่ Loomis ได้ลงคลาสถ่ายรูปอยู่ครั้งนึง จำได้ว่าสนุกสนานมากพอสมควร ใครชอบถ่ายรูปแต่ยังไม่เคยลง ลองลงดูนะครับ คลาสนั้นเป็นคลาสถ่ายรูป "เบื้องต้น" คือถ้าใครยังไม่เคยลงคลาสนี้ ก็จะลงคลาสถ่ายรูปตัวอื่น ๆ ไม่ได้ สอนถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มครับ เป็นกล้อง Pentax เก่า ๆ ตัวนึง กับฟิล์มขาวดำ ไว้วันหลังจะมาเล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับกล้องฟิล์มนะครับ

ที่นึกถึงคลาสนี้ ก็เพราะมีวันหนึ่ง ครูบอกว่า ให้หารูปเก่า ๆ มารูปนึงที่เราถ่ายไว้ แล้วเขียนบรรยายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่จะถ่ายรูปนั้น วันนี้ ไหน ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าบล๊อกนี้จะเขียนเกี่ยวกับอะไรดี ก็เลยจะมาลองเขียนแบบนั้นดูก็แล้วกันนะครับ

(แบ่งช่องว่างเพื่อความสบายตา)

วันนั้นจำได้ว่าเพิ่งสอบเอ็นทรานซ์เสร็จ (มีนาคม ๒๕๔๘) แล้วก็กำลังจะกลับบ้านกับเจ๊ซิม พอดีวั้นนั้นนึกครึ้มอกครึ้มใจยังไงไม่รู้ พกกล้องไปสอบด้วย... สอบเสร็จปรากฎว่ายังไม่อยากกลับบ้านกันทั้งคู่ ก็เลยตกลงกันว่าจะไปวัดพระแก้ว ไปถ่ายรูปกัน

ลงรถเมล์ที่สนามหลวง ก็มีคุณป้าคนนึงมาขายถั่วให้ เราก็ไม่ได้อยากซื้อเท่าไหร่หรอก แต่ป้าแกตื้อเอามาก ๆ ก็เลยซื้อไปถุงนึง สิบบาท กินไปจนหมด เอ๊ยไม่ใช่... ถั่วเอาไว้ให้นกพิราบต่างหาก... โปรยไปโปรยมาจนหมด ก็กำลังจะเดินต่อ แต่แล้วก็มีเด็กคนนึงจะมาขายอีก ถามไปถามมาได้ความว่า เค้าเป็นลูกของป้าคนนั้นนั่นเอง ก็เลยบอกไปว่าพี่ซื้อจากแม่หนูไปแล้ว แต่ต้องนับถือในความพยายามจริง ๆ น้องเค้าเริ่มขายเราที่แถว ๆ หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขายไปขายมา เราก็เดินหนีไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าศิลปากร น้องเค้าก็ยังไม่หยุด ก็เลยต้องยอมแพ้ ตกลงให้เงินน้องเค้าห้าบาท แล้วให้น้องเค้าให้อาหารนกพิราบให้ ส่วนเราจะนั่งถ่ายรูปให้เค้าเป็นแบบ น้องเค้าก็ดีใจใหญ่ มาขอเป็นคนถ่ายมั่ง ขอไล่นกพิราบให้มันบินกันมั่ง สุดท้ายก็ได้รูปนี้แหละครับ :)


บอกน้องเค้าไว้ว่าวันหลังจะเอารูปนี้มาให้ แต่ถึงวันนี้ก็สามปีแล้วสิ ยังไม่ได้เอาให้น้องเค้าเลย เค้าจะยังอยู่ที่นั่นมั้ยน้อ

Thursday, July 31, 2008

Genesis

สวัสดีครับ ไม่รู้จะเริ่มเขียนอันแรกยังไงดีเหมือนกัน ขอทำอันนี้เหมือนคำนำหนังสือก็แล้วกัน ไม่รู้คนอื่น ๆ เป็นเหมือนกันมั้ย ที่เวลาจะอ่านหนังสือก็ชอบข้ามไปหน้าแรกที่เป็นเนื้อหาเลย ไม่เคยอ่านคำนำ แต่ก่อนก็เป็นยังงั้นมาจนขั้นมัธยมได้ ป๊าถึงบอกว่า คำนำนี่แหละ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของหนังสือ เพราะมันทำให้เรารู้ว่า ทำไมคนเขียนถึงเขียน แล้วก็ทำให้เรารู้ด้วยว่าเราอ่านหนังสือเล่มนี้ทำไม ดังนั้นถ้าจะทำอันนี้เหมือนคำนำของบล๊อก (รู้มาจากซักที่ว่าเป็นคำย่อมาจาก เว็บล๊อก) ก็คิดว่าคงจะมีประโยชน์ดีไม่ใช่น้อย สำหรับทุกคน รวมไปทั้งตัวผมเองด้วย สำหรับวันแรกอาจจะเขียนยาวซักนิดนึงนะครับ

หลาย ๆ คนคงรู้ว่าผมเคยเขียนบล๊อกอยู่ช่วงนึง ที่ http://fishix.spaces.live.com/ ซึ่งก็เว้นว่างจากการเขียนมาร่วมปีแล้ว ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง (อะไรบ้างก็ไม่รู้) แต่ทุกครั้งที่กลับไปอ่านข้อเขียนเก่า ๆ ก็รู้สึกดีทุกที หลังจากที่อ่านของเก่า ๆ ซ้ำกันอยู่นาน ก็เลยมีความคิดว่า เออ เราน่าจะเขียนนะ สงสัยจะกลัวว่าต่อ ๆ ไปจะไม่มีอะไรให้อ่านอีกแล้วมั้ง ฮ่า ๆ

ตัวเว็บที่ทุกคนเห็นอยู่นี้ ก็มีอยู่นานมากแล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้โอกาสตกแต่งและเขียนซักที จนเมื่อวันก่อน จอมมาขอรูปที่ถ่ายไว้ที่ Brewster เพื่อจะเอาไปลงในบล๊อก ก็เลยเป็นเหมือนคนจุดประกายให้มาเขียนอย่างเป็นจริงเป็นจังซะที (จอมฝากมาโฆษณาว่า ใครสนใจอยากให้จอมจุดประกายให้อีกก็ติดต่อจอมได้) รวมไปถึงว่าช่วงนี้ออกจะว่าง ๆ นิดหน่อย เลยมีเวลานั่งประดิดประดอยตามใจชอบด้วย

จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาอะไรมาเขียนมาใส่ลงไปในนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าภาษาที่เขียนนั้น ดีแล้วหรือที่จะเป็นดั่งนี้ต่อไป (หรือว่าจาให้มานเป็นงี้ดีเนี่ยะ) ก็ขอเชิญชวนทุก ๆ คน มาร่วมเดินทางไปด้วยกันกับผม (ฟังดูยิ่งใหญ่ดีจัง) ในการปั้นร่างสร้างโครงให้กับบล๊อกนี้ต่อไปนะครับ

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่บล๊อกของผมครับ